เทศน์บนศาลา

หน้าต่างธรรม

๑๕ ม.ค. ๒๕๕๗

 

หน้าต่างธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมเนาะ โลกร้อนนักเราต้องหาที่พึ่ง โลกร้อนเขาพยายามแสวงหาความร่มเย็นเป็นสุขกัน แต่เราเป็นชาวพุทธเหมือนกัน เราเป็นคนเหมือนกัน เราก็แสวงหาความสุขของเราเหมือนกัน การแสวงหาความสุขทางโลก อาศัยโลกอยู่ โลกนี้อาศัยอยู่ชั่วคราวนะ แต่จิตใจของเราถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ มันมีที่พึ่งที่อาศัยตลอดไป ถ้าคำว่ามีที่พึ่งที่อาศัยตลอดไป เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหาไง ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ แสวงหาสร้างคุณงามความดีมาไม่มีต้นไม่มีปลาย

การแสวงหาอย่างนั้นมา แสวงหามาเพราะว่ามีสติมีปัญญา มีความเห็น ความรู้จริง ความรู้จริงคือสร้างสมบารมีมาเป็นพระโพธิสัตว์ เวลามาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ถ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาศึกษาธรรมจากเจ้าลัทธิต่างๆ การศึกษานั้นศึกษาแบบทางโลกๆ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาศึกษาด้วยตัวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง รื้อค้นในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันรื้อค้นตามความเป็นจริงอันนั้นมันมีถนนหนทาง มันมีความจริงขึ้นมา

ถ้ามีความจริงขึ้นมา มีถนนหนทาง มีตรอก มีซอก มีซอย เข้าตามตรอกออกตามประตูมันเป็นความจริงขึ้นมา เพราะมีความจริงอันนั้น เพราะความจริงอันนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเสวยวิมุตติสุขๆ สิ้นสุดกันเสียที การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสิ้นสุดกันเสียที การเวียนว่ายตายเกิดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์เวียนว่ายตายเกิดเพื่อคุณงามความดีนะ แต่คุณงามความดี การกระทำ ดูสิ เป็นพระเวสสันดรเสียสละขนาดไหน เป็นคุณงามความดีของพระเวสสันดร แต่ชาวเมืองประชาชนไม่พอใจๆ จะขับออกจากราชวัง สร้างคุณงามความดีของพระเวสสันดร สร้างคุณงามความดีของพระโพธิสัตว์

สิ่งที่สร้างคุณงามความดีมาเพื่ออะไร เพื่อจิตใจไง สละเป็นชาติสุดท้าย สละลูก สละเมีย สละทุกๆ อย่างขึ้นมาเพื่อปรารถนาเป็นพระโพธิญาณ เขาขับออกจากราชวัง เขาขับไม่มีที่อาศัย นี่ไงสัจจะความดี ความจริงในการบำเพ็ญเพียรความเป็นพระโพธิสัตว์ แต่โลกเขาเห็นด้วยไหมล่ะ โลกเขาไม่เห็นด้วย โลกเขาไม่เห็นด้วยโลกเขาปฏิเสธเลย เพราะความปฏิเสธของเขา ความปฏิเสธของเขาเพราะความเห็นของเขาแค่นั้นไง เรื่องของโลกๆ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาแล้วทำด้วยความมั่นคง ทำด้วยความพอใจ ทำด้วยความพอใจ ทำด้วยความเป็นจริง เพราะได้สร้างสมบุญญาธิการมา

คำว่าสร้างสมขึ้นมาจิตใจมันเข้มแข็ง จิตใจมีหลักมีเกณฑ์ มีหลักมีเกณฑ์ ทำสิ่งใดทำด้วยสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่ทำด้วยความพลั้งเผลอ ไม่ได้ทำด้วยความจำเป็น ไม่ได้ทำเพราะมีการบีบคั้น ไม่ใช่ ทำจริงๆ แหละ ทำความเป็นจริงขึ้นมาให้เป็นความจริงขึ้นมา พอเป็นความจริงขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมดชาติจากพระเวสสันดรไป ไปจุติบนสวรรค์ บนดุสิต รอเวลาๆ ถึงเวลามาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเป็นชาติสุดท้าย ชาติสุดท้ายแล้วการประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง เพราะอะไร เพราะเกิดเป็นชาติสุดท้ายแล้วเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ถ้ายังไม่ได้ออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็เป็นจักรพรรดิ ยังดำเนินการต่อไป แต่ด้วยอำนาจวาสนามารื้อมาค้น มีตรอก มีซอก มีซอย มีความเป็นจริง

บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณมันเป็นความจริงขึ้นมา ชำระล้างกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามความเป็นจริงอันนั้น มันถึงสว่างไสวในหัวใจไง เสวยวิมุตติสุขๆ สว่างไสวอย่างนั้น เพราะความสว่างไสวเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียเอง เป็นศาสดา เป็นผู้สอน เทวดา อินทร์ พรหมต่างๆ มาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นกษัตริย์ในแว่นแคว้นต่างๆ จะทำสิ่งใดก็มาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะทำคุณงามความดีสิ่งใดก็มาเรียกร้องเอาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้นำ เป็นศาสดา รู้แจ้งทั้งโลกนอกและโลกใน เพราะมีความเป็นจริงในใจ เพราะมีความสว่างไสวในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วิมุตติสุข ใจที่เป็นธรรมๆ ใจที่เป็นธรรมเป็นศาสดา ความจริงอันนี้ ถ้าความจริงอันนี้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถ้าถึงที่สุดแห่งทุกข์เราปรารถนากันอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็เพราะแบบนี้ เวลาไปเอาปัญจวัคคีย์ ไปเอายสะ ไปเอาชฎิล ๓ พี่น้อง เสร็จแล้วไปเอาองคุลิมาล ไปรื้อสัตว์ขนสัตว์ ขนมาๆ ขนอย่างไร ขนเพราะอะไร เพราะใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริง มีเหตุมีผล มีหลักมีเกณฑ์ตามความเป็นจริง มันต้องมีความจริงขึ้นมามันถึงจะเป็นความจริงขึ้นมา

ผู้ที่มาศึกษาเล่าเรียนมันก็มีแตกต่างหลากหลายกันไป แตกต่างหลากหลายไป ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสว่างไสว ปรารถนาสิ่งใด ปรารถนาสิ่งใด ต้องการตักตวงสิ่งใด ประโยชน์จากธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทุกอย่าง แต่เวลาคนที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากโดยจริตนิสัยของเขา ดูสิ ดูอย่างพระเทวทัต ออกมาบวชพร้อมกับพระนันทะ บวชพร้อมกับลูกกษัตริย์ทั้งนั้นออกมาบวชด้วยกัน ที่ไปดีก็ไปดีมหาศาลนะ แต่เวลาจิตใจที่มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็กีดก็ขวางไปตลอด

ในการเผยแผ่ธรรมก็กีดก็ขวาง ก็ชิงดีชิงเด่นจะเอาความเป็นจริงของตัว แล้วมันไม่มี ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสว่างไสวครอบโลกธาตุ ในใจของพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ในใจขององคุลิมาลสว่างไสวไปหมด มันมีสัจธรรม มีความจริงในนั้น มันมีการกระทำ มันมีเหตุมีผล ถ้ามันมีเหตุมีผล ดูสิ อย่างเทวทัตก็ฌานโลกีย์เขาก็มีของเขา มีเหาะเหินเดินฟ้าของเขา แต่ในใจเขาคิดอยากใหญ่ คิดอยากทำลายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เป็นฌานโลกีย์ในใจนั้นเสื่อมหมด เสื่อมจนไม่มีสิ่งใดเป็นความจริงในใจเลย

เทวทัตเสื่อมลาภ ให้ลูกศิษย์ลูกหาไปขอลาภสักการะจากตระกูลเดิมของตัว แล้วมาฉันเป็นคณะโภชนะ ฉันเป็นคณะโภชนะคือฉันรวมกันไง เพราะของมันไม่มีไง แต่เวลาภิกษุเรา เราบวชมา สิ่งต่างๆ เราฉันในบาตร ฉันเป็นส่วนของภิกษุองค์ใดที่บิณฑบาตมาเป็นวัตร ธุดงควัตรเป็นวัตรของภิกษุนั้น ห้ามภัตแล้วฉันอีกไม่ได้ สิ่งที่เป็นจริง เป็นจริงบิณฑบาตด้วยลำแข้ง บิณฑบาตด้วยลำแข้ง แสวงหาสิ่งนั้นมาดำรงชีพ พอเทวทัตเสื่อมลาภ ให้ลูกศิษย์ไปขอเอาจากชาติตระกูลของตัว แล้วมาฉันเป็นคณะโภชนะ

คณะโภชนะล้อมวงไง ฉันกันด้วยความเป็นคณะโภชนะ แล้วนางวิสาขาไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าภิกษุทำอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสเป็นภิกษุฉันเป็นคณะโภชนะเป็นอาบัติ ทุกอย่างเป็นอาบัติๆ มา เพราะเวลามันหมดไม่มีความจริงในใจ เสื่อมหมด เสื่อมทั้งสัจจะความจริงในหัวใจ แต่ก็ยังมีความจำ ยังมีสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมอยู่ เอาสิ่งนั้นไปหลอกไปล่อ เอาภิกษุส่วนหนึ่งออกไป เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พระสารีบุตรไปเอาคืนมา

เวลาแสดงธรรมๆ ก็แสดงเหมือนกัน แสดงโดยที่ความมืดบอดในใจของเทวทัต แต่เทวทัตถึงที่สุดแล้วเขาก็สำนึกตัวของเขาได้ สำนึกตัวของเขาได้ เขาจะมาขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่ถึงเราๆ แต่ทุกคนจะมาลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาถึงแล้วๆ ถึงที่สุดแล้วจะมาเตรียมตัวไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปล้างหน้าล้างตาลงจากแคร่ ธรณีสูบไปเลย นั่นเพราะทำของเขา จิตใจที่สว่างไสวแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตใจที่เป็นศาสดาของเรา จิตใจที่เป็นครูบาอาจารย์ที่เป็นความจริงของท่าน ท่านมีความจริงของท่าน มีความจริงคืออะไร มีความจริงคือมีมรรค มีผลไง มีเหตุ มีการกระทำ มีความเป็นจริงไง แต่จิตใจที่ไม่มีการกระทำ ไม่มีความเป็นจริง อาศัยๆ

ถ้าอาศัย อาศัยด้วยความสัมมาทิฏฐิ อาศัยไปค้นคว้าศึกษาขึ้นมามันก็เป็นคุณงามความดีของเรา แต่อาศัยขึ้นมาแล้วกิเลสในหัวใจของเรามันบิดมันเบือน มันอ้างมันอิง มันปรารถนาตามแต่ความพอใจของมัน มันมืดบอด ใจมันมืดบอด ถ้าใจมืดบอดมันมีสิ่งใดจะเป็นประโยชน์กับเราล่ะ เราฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมของเรา ในจิตใจของท่านต้องมีคุณธรรม ต้องมีความสว่างไสวในใจนั้น มันเปรียบเหมือนบ้านเหมือนเรือน ถ้าบ้านเรือนถ้ามีความสว่างไสวมันมีแสง แสงสว่างออกมา ถ้ามีแสงสว่างออกมามันเป็นที่พึ่งอาศัย มันเป็นที่ปรารถนาของเขา

ในสมัยโบราณนะถ้าบ้านเมืองยังไม่เจริญเขาก็ดู ดูสิ ถ้าคนมืดบอดมันก็อาศัยแต่แสง แสงฟ้าแล่บ แสงเดือน แสงตะวัน อาศัยสิ่งนั้น แต่ถ้าจิตใจที่มีธรรมล่ะ บ้านเรือนสิ่งใดที่มันมีความสว่างไสวในหัวใจ ทำไมถึงสว่างไสว เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา วางธรรมและวินัยนี้ไว้ มันมีถนนหนทาง มีตรอก มีซอก มีซอย มีการกระทำมันถึงจะเข้าตามตรอกออกตามประตู เข้าบ้านเข้าเรือนของตัว เข้าที่ไหน เข้าที่หัวใจนี้ไง ถ้าคนจะหาใจของตัว พยายามจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ายังหาใจของตัวไม่เจอทำสิ่งใด

เวลาเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสาธารณะ สิ่งที่ศึกษาธรรมมา ศึกษาธรรมมาขนาดไหน เราศึกษามา ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่ของเรา แล้วถนนหนทางของเราล่ะ ตรอก ซอก ซอยของเราล่ะถ้ามันไม่มีทำอย่างไร ถ้ามันมีมันทำอย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ ปริยัติ ปฏิบัติ ปริยัติคือการศึกษา ศึกษามาศึกษามาแล้วมีแนวทางไหม ถ้าศึกษาไม่มีแนวทางนะ ศึกษามาแล้วถ้ามีแนวทาง เพราะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกวางไว้เอง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

ถ้าไม่มีปริยัติ ไม่มีการศึกษาเราจะเอาที่ไหนกันมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกรื้อค้น ออกประพฤติปฏิบัติกับเจ้าลัทธิต่างๆ มันไม่มีความเป็นจริงอยู่ก็ไปศึกษากับเขา ก็ศึกษาเหมือนกัน แต่ศึกษาแล้วมันอั้นตู้ ศึกษาแล้วศึกษาจนจบกระบวนการของเขาแล้วมันไม่ได้ชำระล้างกิเลส ศึกษาแล้วมันไม่มีสิ่งใดเป็นคุณประโยชน์ในการประพฤติปฏิบัติ มันมีคุณประโยชน์ในการเชื่อถือศรัทธาของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละทิ้งๆ สิ่งนั้นมา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาตามความเป็นจริง เสวยวิมุตติสุข เสวยวิมุตติสุข มันสว่างไสวในหัวใจ มันมีความสุขไง แต่ในเมื่อเกิดมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเมื่อร่างกาย ร่างกายมันก็ต้องการอาหารเป็นเรื่องธรรมดา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเผยแผ่ธรรม เทวดาถวายบาตร ๔ ใบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอธิษฐานให้เหลือใบเดียว อนาคตังสญาณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดิมมาทำอย่างไร พุทธประเพณีทำอย่างใด ออกบิณฑบาต ออกบิณฑบาตเพื่อมาเลี้ยงชีวิตไง ออกบิณฑบาตมาเพื่อร่างกายนี้ได้มีอาหารไง อาหารดำรงชีวิตไว้ ปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ ไง

สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ววางธรรมและวินัยไว้อย่างนี้ เพราะมีความจริงอันนั้น เสวยวิมุตติสุขอย่างนั้น แล้วเผยแผ่ธรรมมาอย่างนี้ เผยแผ่ธรรมมา คนเราเกิดมามีกายกับใจ มันก็มีเรื่องโลก เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยเหมือนกัน ถ้ามีปัจจัยเครื่องอาศัยเหมือนกัน เราเกิดมาเราเกิดมาเราก็มีกายกับใจเหมือนกัน ถ้ามีกายกับใจขึ้นมา เรามาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราก็ศึกษา ศึกษาขึ้นมา ศึกษาแล้วเราประพฤติปฏิบัติไหม ปริยัติแล้วปฏิบัติ ถ้าเราจะปฏิบัติเราจะปฏิบัติอย่างไร ไม่มีถนนหนทาง ไม่มีทางที่เจริญก้าวหน้าแล้วทำอย่างใด

ดูสิ เวลามีบ้านมีเรือน มีหมู่บ้านต่างๆ ถ้าเวลาเขาปิด เขามีการกลั่นแกล้งกัน เขาปิดถนนหนทางกัน มันไม่มีทางไปนะเขาเดือดร้อนกันไปหมด เขาต้องร้องเรียนว่าสิ่งนี้เป็นสาธารณะประโยชน์ เอาเป็นของตนเองได้อย่างไร ถ้าสาธารณะประโยชน์ นี่คือถนนหนทาง ตรอก ซอก ซอยที่เข้าไปสู่บ้านเรือนของเรา เราศึกษามาๆ มันก็ได้แต่ทฤษฎีมา ได้แต่แผนที่มา แล้วบ้านเรือนเราอยู่ไหนล่ะ บ้านเรือนเราอยู่ไหน ตรอก ซอก ซอยเป็นอย่างไร ถ้ามันจะมีตรอก มีซอก มีซอยขึ้นมามันก็จะเข้าสู่บ้านสู่เรือนของเรา ก็ต้องปฏิบัติสิ ทำขึ้นมาให้มีตรอก มีซอก มีซอยของเราขึ้นมา ถ้ามีตรอก มีซอก มีซอยมันก็มีถนนหนทางเข้าไปสู่ใจเราใช่ไหม

ศีล สมาธิ ปัญญามันอยู่ไหน ถ้าไม่มี ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่นะ เวลาเทศนาว่าการ พุทธกิจ ๕ เช้าขึ้นมาเล็งญาณแล้ว เล็งญาณจะออกบิณฑบาต จะออกบิณฑบาต จะโปรดสัตว์ๆ โปรดสัตว์คนใดก่อน เขามีอำนาจวาสนาแค่ไหนจะโปรดสัตว์ก่อน เช้าออกบิณฑบาต ตั้งแต่ก่อนรุ่งเล็งญาณ ออกบิณฑบาต บิณฑบาตแล้วทำภัตกิจ ทำภัตกิจเสร็จแล้วเทศนาว่าการพวกฆราวาส ตกหัวค่ำขึ้นมาสอนพระ กลางคืนขึ้นมาสอนเทวดา เล็งญาณ พุทธกิจ ๕ เป็นกิจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ตามความเป็นจริงอันนั้น

ถ้าเป็นความจริง ความจริงเล็งญาณ เทศนาว่าการเอา แล้วผู้ที่มีอำนาจวาสนาล่ะ ผู้ที่มีอำนาจวาสนาได้ยินได้ฟังแล้วมีหลักมีเกณฑ์ไหม ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการนะ แม้แต่ฆราวาส เหมือนกับของที่คว่ำให้หงายขึ้นมา ได้สิ่งนั้นมาเป็นคุณประโยชน์ไง ถ้าได้เป็นคุณประโยชน์จริง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ ทำอย่างนี้ เวลาคนที่ออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันถึงได้ความเป็นจริง มันสว่างไสว มันครอบคลุมไปหมดสหชาติ เกิดพร้อมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครปรารถนาขนาดไหน ดูเจ้าลัทธิต่างๆ เสื่อมลาภๆ พยายามจะหาคนเข้ามาบวชในพุทธศาสนาเพื่อเอาลาภสักการะ

เขาบวชมาเพื่อลาภ บวชมาเพื่อความเป็นอยู่ของเขา แต่ถ้าคนมีอำนาจวาสนา ดูพระกัสสปะสิ พระกัสสปะ พระรัฐปาล พ่อแม่ไม่ให้บวชทั้งนั้นแหละ พ่อแม่ไม่ให้บวช พยายามขวนขวายๆ เขาสร้างวาสนาของเขามา พอสร้างวาสนาของเขามา เขาบวชเมื่อแก่ พระกัสสปะบวชเมื่อแก่ ให้กรรมฐานมา แล้วพยายามรื้อค้นขึ้นมาในใจของพระกัสสปะ พระกัสสปะเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น

พอศึกษาเล่าเรียนมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าขึ้นมามันเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงขึ้นมาในใจดวงนั้น เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคุณธรรมในหัวใจจริงๆ เพราะมีคุณธรรม เพราะมีเหตุมีผลมันถึงมีสัจจะ มีความจริง แล้วปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา แล้วสิ่งต่างๆ ส่งต่อเนื่องๆ มา สิ่งต่อเนื่องมามันก็เป็นทฤษฎีทั้งนั้นแหละ ศึกษามาก็ศึกษามาเพื่อเป็นแนวทาง ดูสิ ทางโลกเขาว่าปริยัติมั่นคง มั่นคงเพราะการศึกษา การศึกษาเพราะศึกษาแล้วชาวพุทธมีความรู้ เพราะมีความรู้ มีปริยัติถึงจะได้ปฏิบัติ ทีนี้ความรู้ขึ้นมา ความรู้เป็นอย่างไรล่ะ ความรู้ขึ้นมาแล้วยึดความรู้เป็นเราล่ะ

ถ้ายึดความรู้เป็นเรามันไม่มีความจริง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านออกประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงของท่านขึ้นมาท่านก็รื้อค้นอย่างนี้ ทฤษฎีก็มีอยู่ แผนที่เครื่องดำเนินมีอยู่ แต่จะไปถือเอากับใคร ถนนหนทางมันไม่มี กิเลสมันปิดกั้นหมด กิเลสในใจของสัตว์โลกมันไม่เชื่อว่ามีมรรค มีผล มันไม่มีเชื่อว่ามีความจริงอยู่ มันไม่เชื่อว่ามันมีตรอก มีซอก มีซอย มันไม่เชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ จิตใจของคนก็เป็นแบบโลกนี้แหละ เกิดมาก็ใช้ชีวิตแบบโลกนี้ ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก็ศึกษามาเพื่อความรู้ มันก็เหมือนกับเราดูเดือน ดูดาวว่ามันลอยอยู่บนฟ้า แต่เราไม่มีความสามารถที่จะหยิบยื่นมาเอามาเป็นของเราได้

ศึกษามาเป็นอย่างนั้นมันไม่มีมรรค ไม่มีผล มันไม่มีความเข้มแข็ง มันไม่มีความจริง ถ้าไม่มีความจริงมันก็ได้แต่แหงนดูของเขา นี่ก็เหมือนกัน เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านก็พยายามขวนขวายของท่าน ขวนขวายมานะ ขวนขวายเอาความเป็นจริงมาให้ได้ ล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหน กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง มันจะเจริญที่ไหนล่ะ เจริญที่ไหน ในเมื่อปริยัติมันเข้มแข็ง ถ้าในการทฤษฎี ในการศึกษาเข้มแข็งแล้วศาสนาจะมั่นคง แล้วมั่นคงมั่นคงที่ไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาศึกษามาๆ ทำของในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา มันไม่มีเหตุมีผลของมันขึ้นมา

ฉะนั้น เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านออกประพฤติปฏิบัติของท่านก็เหมือนกัน ทฤษฎีมันมีอยู่ ทฤษฎีมีอยู่ แต่ความเป็นจริงล่ะรื้อค้นมันขึ้นมาจนในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมีคุณธรรม มีความจริงขึ้นมา มันสว่างไสวในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านถึงมีหนทาง มีตรอก มีซอก มีซอย วางข้อวัตรปฏิบัติมาให้เราประพฤติปฏิบัติกัน ถ้าเราฟังข้อวัตรปฏิบัติให้ประพฤติปฏิบัติกัน ถ้าเป็นความจริงนะเราก็ต้องขวนขวายให้มันเป็นจริงขึ้นมาในใจเรา

ถ้ามันมีศีล ศีลคือความปกติของใจ ศีลเราปกติไหม ถ้าศีลเราปกติ ศีลเรามีความเป็นจริงขึ้นมา เป็นจริงที่ไหน เป็นจริงที่ว่าเจตนาของเราไง วิญญาณาหาร มันคิดชั่ว มันคิดมักใหญ่ มันคิดจินตนาการไปหรือเปล่า ถ้ามันจินตนาการไปมันจะได้สิ่งใดมา มันก็จินตมยปัญญา แต่ถ้ามันปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา มันมีสติ มีศีลโดยความบริสุทธิ์ใจของตัว เวลากำหนดพุทโธ ทำปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา ถ้ามันสงบระงับเข้ามา มันจะเริ่มเข้าสู่การปฏิบัติไง มีศีล มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมาตามความเป็นจริงมันก็มีตรอก มีซอก มีซอย มีความเป็นจริง ถ้าทำจริงมันก็จะเป็นความจริงอันนั้น

ถ้าทำไม่จริง ในเมื่อมันมีข้อวัตร มันมีความจริงในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็วางของท่านไว้ เหมือนบ้าน บ้านถ้าเข้าตามตรอกออกตามประตูมันก็จะเข้าสู่บ้านนั้นได้ แต่เราเห็นแต่บ้านของคนอื่น ในบ้านของเขาสว่างไสว หน้าต่างมีแสงไฟออกมา หน้าต่างมีแสงไฟออกมานะ แสงสว่างจากหน้าต่างนั้น เราเห็นแต่หน้าต่างนั้นด้วยจินตนาการของเรา ไม่มีตรอก มีซอก มีซอย ไม่มีสัจจะความจริง มันจะเข้าตามหน้าต่างนั้นน่ะ ถ้ามันจะเข้าตามหน้าต่างนั้นมันจะเข้าได้ไหม ถ้ามันจะเข้าโดยทางโลกมันก็คิดว่าทำไมจะไม่ได้ ก็ปีนเข้าไป ถ้ามันตึกสูงนักเราก็หย่อนตัวลงมาจากข้างบนก็ได้ เราปีนขึ้นไปก็ได้ เราจะเข้าอย่างไรเข้าตามหน้าต่างนั้น

นี้คือความเห็นไง นี่คือความคิด ความเห็น ความจินตนาการของตัวว่าทำอย่างนี้ก็ได้ จะเข้าถึงสัจธรรมก็ได้ หน้าต่างธรรมๆ ดูสิ เวลาถ้าเราไม่มีครูบาอาจารย์ของเรา เราปฏิบัติไปมันไม่มีสัจธรรม บ้านหลังนั้น หัวใจหัวใจนั้นไม่มีความสว่างไสว ไม่มีสัจธรรม ไม่มีสิ่งใดเป็นความร่มเย็นเป็นสุขสู่หัวใจนั้น มันจะเอาความร่มเย็นเป็นสุขไปไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา วิมุตติสุขๆ เพราะสัจจะอันนั้น ธรรมธาตุอันนั้นมันมีคุณธรรมอยู่ในนั้น ถ้ามีคุณธรรมอยู่ในนั้นมันเหนือโลกไง

ถ้ามันเหนือโลก ไม่ลำเอียงเพราะรัก ไม่ลำเอียงเพราะชัง ไม่ลำเอียงสิ่งใดทั้งสิ้น จะพูดสิ่งใดพูดตามข้อเท็จจริงนั้น เพราะมันเกิดเหตุอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น อำนาจวาสนาคนเป็นแบบนั้น วิธีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เทศน์ปัญจวัคคีย์ก็อย่างหนึ่ง พอไปเทศน์ยสะก็อย่างหนึ่ง เวลาไปเทศน์ชฎิล ๓ พี่น้อง บูชาไฟก็อย่างหนึ่ง เพราะมันเป็นจริต มันเป็นนิสัยของเขา พูดสัจจะตรงตามสัจจะ ตรงตามจริตนิสัยของจิตดวงนั้น การประพฤติปฏิบัติมันก็เป็นความจริงขึ้นมาจากใจดวงนั้น เพราะอะไร เพราะวิมุตติสุข เพราะมีสัจธรรมในใจ เพราะมีสัจธรรมในใจอันนั้น

มันมีสัจจะ มีความเป็นจริง ชี้แนวทางอันนั้นมา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงของครูบาอาจารย์ของเรา ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ ท่านเป็นหลักชัยของกรรมฐานเรา ถ้าท่านเป็นหลักชัยของกรรมฐานเรา หัวใจของท่าน ดูสิ บ้านเรือนของท่านสว่างไสวครอบงำพวกเรา วางข้อวัตรปฏิบัติไว้ให้พวกเราประพฤติปฏิบัติตาม ถ้าเราจะปฏิบัติตามนั้นเราก็ต้องทำความเป็นจริงของเราขึ้นมา ไม่ใช่เห็นแสงสว่างนั้น เอาแสงสว่างนั้น เพราะแสงสว่างนั้นทำให้เราปลื้มใจใช่ไหม

ถ้าเราศึกษาทฤษฎี ศึกษาทฤษฎีมันก็เป็นแผนที่เครื่องดำเนิน มันไม่เห็นแสง เห็นสีอะไรเพราะมันเป็นกระดาษเปื้อนหมึก กระดาษนั้นเปื้อนหมึกให้เราศึกษา ศึกษามาเพื่อเป็นความจริง แต่ในทางปฏิบัติ ในทางปฏิบัติข้อวัตรปฏิบัติของครูบาอาจารย์ท่านวางไว้อยู่แล้ว ถ้าวางไว้เราจะทำเป็นจริงล่ะ เราก็อาศัยอันนั้นเป็นการดึงดูด ผู้นำของเราท่านมีคุณธรรมในใจของท่าน ท่านมีคุณธรรมในใจของท่าน เราเชื่อมั่นสิ่งนั้น มีศรัทธา มีความเชื่อ ความเชื่อ ความมุ่งมั่นของเรา เราเดินตามรอยแนวทางของท่าน ถ้าเราเดินรอยตามแนวทาง แสงสว่างทำให้เราชุ่มชื่น ทำให้เรามีกำลังใจ ทำให้เราประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ย้อนกลับมาสมัยท่าน

สมัยท่านท่านพยายามขวนขวายของท่านนะ มันไม่มีใครบอก ไม่มีใครสอน ต้องศึกษาตามทฤษฎี ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภาคปริยัติ ศึกษาแล้วก็คลำไป คลำไป บุกเบิกไป พยายามไป คอยดูแลใจของตัว คอยดูแลใจให้มันถูกต้องดีงามแล้วประพฤติปฏิบัติไป แล้วใจของเรามีกิเลส คนมีกิเลสทุกคน คนเกิดมามีกิเลส คนเกิดมามีกิเลสแต่ได้สร้างคุณธรรมมา ได้สร้างอำนาจวาสนามา มันยังมีสติ มีปัญญา แม้แต่มีกิเลส กิเลสมันคอยหลอกคอยล่อ คอยชักคอยจูงขนาดไหนก็พยายามฝืนมัน แล้วยึดไว้ ยึดทฤษฎี ยึดธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไว้ แล้วพยายามทำไป เพราะมันถึงคราว

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีชีวิตพระชนม์ชีพอยู่ ความสว่างไสวในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันครอบงำให้มีความร่มเย็นเป็นสุขทั้งนั้นแหละ ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว สมัยโบราณครูบาอาจารย์ท่านก็ยังประพฤติปฏิบัติกันมา ท่านมีความจริงมา มันมีผู้ชี้นำมาตลอด แต่พอล่วงผ่านเวลานั้นไปมันก็เหมือนกับเมฆหมอกมันเข้ามาปิดบังให้แสงนั้นสลัวไป เวลาบ้านหลังใดปลูกต้นไม้ไว้คลุมพื้นที่หมดมันก็คลุมแสงนั้นไป ถ้าแสงนั้นมันส่งมา แสงนั้นมันสว่างไสวมา เหมือนหมามันเห็นดวงจันทร์ เห็นเครื่องบินมันก็เห่าก็หอนมันไปอย่างนั้นแหละ แต่มันไม่ได้ตามความเป็นจริงอย่างนั้น

ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปๆ สัจจะมันมีอยู่ สัจจะความจริงมันมีอยู่ แต่มันไม่มีแสงนั้น ไม่มีการชี้นำนั้น ไม่มีสิ่งใดที่คอยบอกแนวทางนั้น ดูสิ เวลามันมืดสนิท หน้าต่างธรรมๆ สัจธรรมมันมีแสงสว่างออกมา ถ้าใครมีแสงสว่างออกมามันให้แนวทางเราได้ เรามองไปแล้วเราก็มั่นใจนะ เรามองไปแล้วเห็นบ้าน เห็นเรือน เห็นมีแสง มีครู มีอาจารย์คอยให้กำลังใจ คอยชี้แนะ คอยบอกเราเราก็อบอุ่นนะ แต่เราอยู่ป่าอยู่เขาไม่มีสิ่งใดเลย มีแต่ดวงดาว มีแต่พระจันทร์ ดวงดาว มันสุดความเอื้อมถึง มันก็น้อยเนื้อต่ำใจ มันก็ไม่อบอุ่นหัวใจ แต่ถ้ามันมีความจริงเราก็ขวนขวาย

แล้วในสมัยปัจจุบัน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านยังมีร่องมีรอยของท่านอยู่ หน้าต่างธรรมๆ ไง เราก็เอาสิ่งนี้มาเป็นแนวทาง แต่ถ้ามันตามความเป็นจริงมันต้องมีตรอก มีซอก มีซอย มีถนนหนทางเข้าไปสู่เปิดประตูบ้านนั้นให้ได้ เข้าสู่หัวใจเราให้ได้ แต่เราเห็นแต่แสงสว่างจากหน้าต่างนั่นน่ะ แล้วคนที่ปฏิบัติไม่มีสัจจะความจริง มันก็คิดจินตนาการไปนะ มันจะค้ำถ่อเข้าทางหน้าต่างนั้นน่ะ หน้าต่างมันมีกำแพง มันมีรั้ว มันมีฝากั้นอยู่ มันเข้าไปมันเข้าไม่ได้หรอก มันเข้าไปมันติดหมดแหละ หน้าต่างเดี๋ยวนี้เขาติดกระจก มันเข้าไปมันก็ชนกระจกออกมาทั้งนั้นแหละ มันเข้าไม่ได้ แต่ด้วยความคิดของเรา

ฉะนั้น เวลาเขาประพฤติปฏิบัติกันถึงบอกว่าค้ำถ่อเข้าไปเลย โดดแล้วพุ่งเข้าไปเลย เพราะอะไร เพราะไม่มีตรอก มีซอก มีซอย ไม่มีเหตุมีผล ไม่มีการกระทำ มันเอาธรรมะมาจากไหนล่ะ มันเอาธรรมะมาจากไหน มันเป็นความเห็นนะ แต่แสงจากหน้าต่างนั้นก็อ้างอิงกันไป พออ้างอิงไปมันบอกถึงข้อเท็จจริงในใจ มันบอกถึงความมีอยู่จริงหรือเปล่า ถ้ามันไม่มีความอยู่จริง สิ่งที่คุณธรรมในใจนั้นมันไม่มี

ถ้ามันจะมีล่ะ มันมี ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดที่สวนลุม เราเกิดมาชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เกิดเป็นชาติสุดท้ายยังศึกษาเล่าเรียนมา ศึกษามาจนได้เป็นกษัตริย์ ศึกษาเล่าเรียนจนเป็นกษัตริย์ เวลาออกบวช เวลาออกแสวงหาสัจธรรมยังอีก ๖ ปี ค้นคว้ามาอยู่ ๖ ปี แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา ก็มันเป็นจริงขึ้นมาโคนต้นโพธิ์นั้น บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ มันมีถนนหนทาง มันมีเหตุมีผล มีที่มา

เวลาเทศน์ธัมมจักฯ ทเวเม ภิกขเว ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ อะไรเสพ อะไรไม่เสพล่ะ แล้วมัชฌิมาปฏิปทาเป็นอย่างไร ธรรมจักรมันเป็นอย่างไร ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบมันชอบอย่างไร ถ้าความชอบธรรมขึ้นมา สิ่งที่เป็นจริงขึ้นมา เทศน์ธัมมจักฯ ขึ้นมา พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เพราะมันมีเหตุมีผล มีที่มาที่ไป มีการกระทำ แล้วมันเป็นจริง เพราะในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ มีความปลื้มใจ เทศนาว่าการเทศน์อนัตตลักขณสูตรขึ้นมา พระอรหันต์ขึ้นมาเป็น ๕ องค์ รวมทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็น ๖ เริ่มต้น

มันมีเหตุมีผล มีที่มาที่ไปมันก็เป็นจริง เวลาในสมัยปัจจุบันนี้หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่านตามความเป็นจริงขึ้นมา ท่านก็ทำความจริงของท่านขึ้นมาในหัวใจของท่าน แล้วมันแนวทาง ในปัจจุบันนี้ ดูสิ มันแตกแขนงกันไปมากมาย จะค้ำถ่อเข้าทางหน้าต่างธรรมๆ นั่นแหละ หน้าต่างธรรมนั้น ดูสิ ท่านเป็นความอบอุ่น แสงนั้นส่องช่องทางให้เรา ในเมื่อเรายังเห็นแสง เห็นทางเดิน เห็นเหตุเห็นผลเราก็ขวนขวายของเรา ทำให้ได้จริง ถ้าทำให้ได้จริงมันจะเป็นจริง ทำให้ได้จริงตั้งสติ ทำอย่างไรก็แล้วแต่ต้องค้นคว้าหาความจริงของเราให้เจอ

ถ้ามันค้นคว้าหาความจริงเราไม่เจอ เริ่มต้นจากสัญญาอารมณ์ เริ่มต้นจากความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกนึกคิดมันเป็นโลก โลกียปัญญา โลกียปัญญาจินตนาการไป จะค้ำถ่อเข้าสู่สัจธรรมอันนั้น จะเข้าสู่หน้าต่างธรรมอันนั้น มันเข้าไม่ได้หรอก เข้าไปมันเจอกำแพง ติดกำแพงนั้นเข้าไปไม่ได้ กำแพงคืออะไร กำแพงคือกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรานั่นล่ะ แต่พอมันจินตนาการไปเรื่องโลกๆ โลกียปัญญา ทำอย่างไรให้มันสะดวกสบาย ทำอย่างไรให้มันตามความพอใจของตัว สิ่งนี้คือสัจจะ แล้วมันเป็นกระแสสังคมเชื่อกันไป เชื่อกันไปเพราะอะไร เพราะเราเป็นนักบวช เราเป็นพระด้วยกัน เราเป็นคนอ้างอิงถึงครูบาอาจารย์ที่เป็นฝ่ายปฏิบัติ แสงนั้นเอามาห่ม ห่มตัวเองไว้ซะ

สิ่งที่ความจริง แสงสว่างนั้น ช่องทางนั้นเขามีไว้ให้ประพฤติปฏิบัติ เขามีไว้ให้เราแก้ไข สิ่งที่จะเป็นกำแพง สิ่งที่จะเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา ไม่ใช่สวมรอยเอาเป็นสมบัติของเรา ถ้าเอาเป็นสมบัติของเราแล้วจินตนาการไปไม่มีเหตุไม่มีผลเลื่อนลอย เพราะความเลื่อนลอยอันนั้นมันถึงไม่มีจุดยืน มันถึงไม่มีคุณธรรม ไม่มีสัจธรรมออกมาจากใจ แต่ครูบาอาจารย์เราท่านเอาแสงนั้น เพราะการศึกษา การศึกษาภาคปริยัติก็แสงนั่นแหละ ในสัจธรรม ในสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ศึกษาตามนั้น แล้วพยายามทำความจริงขึ้นมา เราเห็นแสงนั้นเพื่อความอบอุ่นว่ามันมีอยู่จริง แต่เวลาเราจะเอาความจริงของเราขึ้นมาเราต้องสร้างถนนหนทางของเราขึ้นมา

มรรคโคทางอันเอก ถ้าไม่มีมรรคโค ไม่มีทางที่เราจะหาทางลัดเลาะเข้าไปสู่บ้านเรือนของเรา คือไปสู่หัวใจของเรา ในวิมุตติสุขขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา เราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชา ทำลายอวิชชา นั่นล่ะสัจธรรมอันนั้นล่ะ ธรรมธาตุ มีความสงบร่มเย็น มีความสุขอยู่ที่นั่น วิมุตติสุขๆ แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมาเราก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน เราก็มีจิตเวียนว่ายตายเกิดเหมือนกัน แต่ในปัจจุบันเรามีศรัทธา มีความเชื่อในสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าศึกษาปริยัติเราก็ศึกษากันมาพอสมควรแล้ว ถ้าเราไม่ศึกษามาสมควรเราจะไม่มีความมั่นคงอย่างนี้ เพราะเราศึกษามามั่นคง เราฟังเทศน์ครูบาอาจารย์กันมาเยอะ นี้ฟังเทศน์ครูบาอาจารย์มาเยอะเป็นคติธรรมๆ สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านขึ้นมาเป็นความจริงของท่าน แต่เราศึกษา เราศึกษามาเพื่อเป็นคติธรรมกับเรา ถ้าเป็นคติธรรมกับเราแล้วเราจะเริ่มปฏิบัติของเราแล้วล่ะ ปริยัติให้ปฏิบัติ ถ้าการปฏิบัติขึ้นมาตั้งสติไว้ ตั้งสติไว้มันจะเป็นความจริงของเรา เวลาเรากินอาหารเราไม่ต้องการให้ใครกินแทนเรา เวลาทำงานไม่อยากทำ จะทำอาหารให้คนอื่นทำให้ แต่เวลากินเราอยากจะกินเอง

นี้ทางโลกเขาทำกันได้ เพราะอะไร เพราะมันเป็นธุรกิจการค้า แต่เวลาจะเอาสัจธรรม จิตใจมันเสวยอารมณ์ จิตใจมันเสวยความสุข ความทุกข์ จะจ้างใครมาสุข มาทุกข์ให้แทนเรา เราจะจ้างใครให้หาวิมุตติสุขมาให้เรา มันไม่มี ถ้ามันไม่มีเราจะต้องทำของเราเอง ถ้าเราทำของเราเองเพราะเรามีศรัทธาความเชื่ออยู่แล้ว จะทุกข์ทนเข็ญใจ จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน เวลาประพฤติปฏิบัติต้นทุนเท่ากัน ถ้าต้นทุนเท่ากันแล้ว ใครมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน มีความเข้มแข็งแค่ไหน ถ้ามีความเข้มแข็งขึ้นมา เราจะสร้างทางเราแล้ว นี่ดำริชอบ

ดำริขึ้นมาถึงการกระทำ งานทางโลก งานทำหน้าที่การงานเราก็ได้ทำของเรามาแล้ว งานทางโลกที่เขาว่าทุกข์ๆ ยากๆ เขาพยายามบากบั่นกันเราก็ทำประสบความสำเร็จของเราแล้ว เราเป็นชาวไร่ชาวนา เราก็ได้ทำไร่ทำนาของเรามาพร้อมแล้ว สิ่งที่เราวางไว้ แต่ขณะที่ปัจจุบันเราจะแสวงหาใจของเรา เราจะแสวงหา เพราะเราเป็นชาวพุทธ เราก็อยู่ในหน้าต่างธรรม อยู่ในแสง อยู่ในการคุ้มครองดูแลของครูบาอาจารย์เรา เพราะเป็นชาวพุทธเหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

เราเป็นพระ เราเป็นภิกษุ เป็นนักรบ เป็นผู้ที่แสวงหา ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติ เราเป็นอุบาสก อุบาสิกาเราก็เป็นนักรบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ มันขาดตกบกพร่องไปที่ไหนล่ะ มันไม่ขาดตกบกพร่องไป มันจะขาดตกบกพร่องก็ความจริงของเรานี่แหละ มันจะขาดตกบกพร่องเพราะเรามักง่าย เห็นใครเขามาบอกเลย หน้าต่างธรรมนั้นค้ำถ่อเข้าไปเลย โดดพุ่งหลาวเข้าไปเลย เข้าไปมันก็ไปชนกำแพงออกมาเท่านั้นแหละ

กำแพงคืออะไร กำแพงคือความไม่จริง กำแพงคืออวิชชา กำแพงคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะมีอวิชชา มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่อาศัยธรรมของครูบาอาจารย์ อาศัยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วอ้างอิง ทั้งๆ ที่ตัวก็รู้ ถ้าตัวไม่รู้มันทำไมไม่มีความจริงแสดงออกมาล่ะ ทั้งๆ ที่ตัวก็รู้ ถ้าตัวก็รู้ ถ้าเราเป็นสุภาพบุรุษ เราเป็นคนที่มีอำนาจวาสนา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุทกดาบส อาฬารดาบส สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ เจ้าชายสิทธัตถะมีความรู้เสมอเรา มีความเห็นเหมือนเรา เป็นอาจารย์ได้ สั่งสอนสัทธิวิหาริกในสำนักนั้นได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เอาๆ

นี่ก็เหมือนกัน มันจะค้ำถ่อ มันจะโดดพุ่งหลาวเข้าไปในหน้าต่างนั้น เข้าสู่สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไม่ได้เพราะมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก อวิชชาของเรามันปิดกั้นอยู่ เพราะมันปิดกั้น เพราะมันปิดกั้นมันเป็นกำแพง ถึงจะมีช่องแสงอันนั้น เพราะเราเป็นชาวพุทธไง เราเป็นชาวพุทธที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ไง เมื่อไรภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรายังไม่เข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ

ลัทธิต่างๆ ผู้มีความเห็นแตกต่าง เขาก็บอกของเขาถูกต้องๆ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อใดถ้ามีผู้รู้จริง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมๆ มา จนถึงที่สุด บัดนี้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราเข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะนิพพาน ผู้ที่รู้จริงมี หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราเป็นความจริงมี ถ้าเป็นความจริงมีมันกล่าวแก้ได้ไง กล่าวแก้สิ่งที่ไอ้พุ่งหลาว ไอ้ที่โดดค้ำถ่อ ไอ้ที่จะเอาตัวลงมา

ไอ้นี่มันเป็นวิทยาศาสตร์ มันเป็นเวลาวิทยาศาสตร์ที่เราเทียบเคียงว่ามันน่าจะเป็นไปได้ ว่าเราจะเข้าทางช่องหน้าต่างนั้นได้ แล้วก็เป็นกระแสสังคม เป็นกระแสให้พวกเราเชื่อถือกันว่าการปฏิบัติทำอย่างนี้ก็ได้ แล้วความจริงล่ะ ความจริงมันไม่มี แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านบอกว่าทำความสงบของใจมาก่อนนะ ถ้าทำความสงบของใจดำริชอบ

ดำริชอบไง สุขทุกข์ก็คือเราไง การเกิดก็เราเกิดมานี่เอง เวลามันทุกข์ก็เรานี่แหละทุกข์ แต่เพราะเราเชื่อ มีศรัทธาความเชื่อ แสงสว่างนั้น ศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ โดยสายเลือด โดยสายเลือด โดยประเพณีวัฒนธรรมเราก็ได้เห็นการทำบุญมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย โตขึ้นมาเราได้อยู่ท่ามกลางภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อยู่ท่ามกลางผู้ที่ขวนขวายแสวงหาสัจธรรมกัน

เราอยู่ท่ามกลาง ถ้าเขาท่ามกลางมีครูมีอาจารย์เป็นผู้ชี้นำ สังคมใดปฏิบัติซื่อตรง ผู้ที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าเขาซื่อตรงต่อสัจธรรม แล้วปฏิบัติธรรมตามความเป็นจริง สิ่งนั้นจิตใจของเราเป็นสุภาพบุรุษ เราปฏิบัติตามนั้น เราเชื่อตามนั้น แล้วเราทำความเป็นจริงของเราขึ้นมาให้ได้อย่างนั้น ถ้ามันได้อย่างนั้นดำริชอบ ถ้าดำริชอบทำความเป็นจริงขึ้นมามันก็มี มันจะมีถนนหนทาง มันจะมีตรอก มีซอก มีซอย มันจะเข้าตามตรอก ออกตามประตู ไม่ใช่เข้าทางหน้าต่างนั้น ถ้าเข้าตามประตู ประตูอยู่ไหน

พุทโธ พุทโธ พุทโธเพื่อให้จิตมันสงบเข้ามา ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิมันจะเข้าไปสู่ประตูนั้น ถ้าเข้าไปสู่ประตูนั้น บ้านของเรายังไม่ได้เดินไฟเข้าบ้านเรา เข้าในบ้านของเรากลางวันมันก็สว่าง กลางคืนมันก็มืด ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใดๆ ทั้งสิ้น แต่มันก็มีบ้านของเรานะ บ้านของเรามันก็ยังปลอดภัยนะ ถ้าไม่มีแสงสว่างเราก็จุดเทียนของเรา เราหาความสว่างไสวจากความสามารถของเรา เรากำหนดพุทโธ พุทโธ เราพยายามไปพักอยู่ในใจของเรา

ถ้ามันพักได้ สุขทุกข์มันอยู่ที่ใจ ไม่มีใครเอาความสุขความทุกข์ เอาความดีความงามมาให้เราได้หรอก เราทำบุญกุศลมันก็เป็นอามิส อามิสนอกใจ อามิสเพราะมีเจตนา ปฏิสนธิวิญญาณ ภวาสวะ ภพ เวลามันมีความรู้สึกนึกคิด มีเจตนามันเป็นขันธ์ทั้งนั้นแหละ มันเสวยอารมณ์ มันอยู่นอกบ้าน พอนอกบ้านเขาแสวงหามา พอแสวงหามาเพื่อบ้าน แสวงหามาเพื่อความมั่นคงของเรา เราทำบุญกุศล ทำต่างๆ มันเป็นอามิสทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเวลาเรากำหนดพุทโธของเรา เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเรา เวลามันเข้าสู่สัจจะ เข้าสู่ความจริงมันเข้าสู่บ้านของเรา

ถ้ามันเข้าสู่บ้านของเรา สัมมาสมาธิ สุขทุกข์ไม่มีใครจะหยิบยื่นให้เราได้ สุขทุกข์ เวลาทำบุญกุศลเรามีความสดชื่นด้วยกุศลของเรา กุศลของเรามันก็เป็นประเพณีวัฒนธรรมไง ดูสิ ที่ไหนเขามีงานรื่นเริง ที่ไหนเขามีกิจกรรม เราไปร่วมกิจกรรมกับเขาเราก็มีความสุขไปกับเขา ที่ไหนเขามีแต่ความเศร้าสร้อย ที่ไหนเขามีแต่ความทุกข์ เราไปอยู่ในสังคมนั้นเราก็ทุกข์ไปกับเขา

นี่ก็เหมือนกัน มันคิดดี มันมีบุญกุศลของมัน มันก็ชื่นใจไปกับเขา เวลามันทุกข์มันยาก เวลามันทุกข์มันร้อนขึ้นมา จิตใจก็เดือดร้อนไปกับเขา มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นแหละ แต่เพราะเราก็ทำมา เราเลือกเอา เราเลือกทำแต่คุณงามความดีของเรา มีสิ่งใดนะ โลกเขาจะเดือดร้อน โลกเขาจะทุกข์จะยาก เขาจะแสวงหาแต่สิ่งที่เป็นภัยของเขา นั่นก็เรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราพยายามสร้างกุศลของเรา พยายามทำของเราเพื่อ เพื่อให้จิตใจมันเป็นสาธารณะ ให้จิตใจมันยอมรับสิ่งต่างๆ

ถ้ามันยอมรับขึ้นมามันยอมรับ ยอมรับเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝาก ฝากศาสนาไว้กับอุบาสก อุบาสิกา ฝากศาสนาไว้กับภิกษุ ภิกษุณี เขาฝากไว้ ฝากไว้ แต่นี้ไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริง ฝากไว้แสงสว่างนั้น แสงนั้นออกจากหน้าต่างนั้น แสงนั้นออกมาเพื่อความชุ่มชื่นของเรานั้น แต่เราจะเอาความจริงของเราขึ้นมา เราเอาความจริงเราต้องเข้าสู่สัจจะ เข้าสู่บ้านสู่เรือนของเรา เข้าสู่ภวาสวะ เข้าสู่ภพ เข้าสู่ใจของเรา ถ้าเข้าสู่ใจของเรา เราตั้งสติของเรา บริกรรมของเรา พุทโธของเรา เราทำความจริงของเรา

มันจะทุกข์มันจะยาก มันจะทุกข์ยากแค่ไหนมันก็พอใจทำ มันจะทำ มันจะทำไง จะทำเพราะเรามั่นใจไง เรามั่นใจจากแสงสว่าง จากแสงนั้น จากชื่อเสียง จากเกียรติคุณของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น จากเกียรติคุณจากความเป็นจริง มันมีร่องมีรอย เราก็เอาจริงของเราสิ เราเอาจริงของเรา ในสมัยปัจจุบันนี้เราก็ยังเห็นร่องเห็นรอยอยู่ ท่านเปิดทางไว้ให้ ในเมื่อมันเป็นถนนสาธารณะมันก็มีถนนหนทาง ถนนหนทางของท่าน เรายังทำไม่ได้เราก็เห็นร่องเห็นรอย เห็นถนนหนทางนั้นเราก็พอใจ แต่มันไม่ใช่ถนนของเรา

ถ้ามันจะเป็นถนนของเรา มรรคโคทางอันเอก ถ้าเราทำของเราเราก็ทำของเรา เราก็มีสติปัญญาของเรา เรากำหนดคำบริกรรมของเรา ใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเรา มันจะทุกข์มันจะยากขนาดไหนเราก็พยายามทำ งานอย่างอื่นทำมาแล้วทั้งนั้น เวลางานที่เป็นความจริงกับใจนี้มันทำไมทำไม่ได้ ถ้ามันจะทำขึ้นมามันพอใจ ถ้าพอใจทำกำหนดพุทโธ ลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ นี่พูดถึงผู้ที่ปฏิบัติใหม่ แต่คนที่ทำมีความชำนาญแล้วกำหนดจิตมันสงบได้เลย มีกำหนดขึ้นมา กำหนดขึ้นมา

อ้าว ถ้าอย่างนี้ดูจิตทำไมใช้ไม่ได้ล่ะ ดูจิตมันเป็นความผิด กำหนดอย่างนั้นได้อย่างไร ก็มันพุทโธจนชำนาญ คนชำนาญในวสี ถ้าคนชำนาญแล้วเขาจะเห็นประสบการณ์ เขาจะรู้ประสบการณ์ของเขา ถ้ากิเลสมันพอกพูน กิเลสมันจะทำให้เราเหลวไหล พุทโธเลย เพราะพุทโธเราเคยพุทโธอยู่แล้วไง ดูสิ เวลาเรากินอาหาร เราหยิบถ้วยหยิบจานเราก็ตักข้าวใส่จาน เราก็มีกับข้าวใส่ ก็กินได้ทุกที นี่ก็เหมือนกัน จนชำนาญ

นี่ก็เหมือนกัน จิตถ้ามันปกติมันมีความชำนาญ กิเลสไม่พอกมัน มันกำหนดได้เลย กำหนดให้สงบได้ แต่ถ้ามันไม่ได้ก็พุทโธ มันทิ้งไม่ได้ มันทิ้งไม่ได้เพราะอะไร เพราะเวลาข้าวหมดหม้อล่ะ คนอื่นเขาตักไปหมดแล้วไม่มีข้าวเลย เราเอาจานมาจะตักข้าวที่ไหน เราก็ต้องขวนขวายหาข้าวมาใส่จานเราให้ได้ ถ้าขวนขวายก็พุทโธไง จานเปล่าๆ กินไม่ได้ มันต้องมีอาหารของมัน ถ้ามันมีอาหารมันก็พอใจของมัน ถ้าอาหารมันเหลือเฟือมันกินอะไรก็ได้ แต่ถ้าอาหารไม่มี อาหารไม่มีมันก็ต้องขวนขวายหามาใส่มัน

นี่ก็เหมือนกัน เวลากำหนดพุทโธ ถ้ามันพุทโธชำนาญ อาหารมันเหลือเฟือ อย่างไรมันก็สงบ แต่ถ้าอาหารมันขาดแคลน ข้าวยากหมากแพงไม่มีมันขาดแคลนเราก็ต้องแสวงหามาสิ่งนั้น จิตใจของเราเวลาชุ่มชื่นดีงามมันฟุ่มเฟือย แต่เวลาจิตใจของเรามันขาดตกบกพร่องมันก็ต้องมีสติ ขวนขวายหามา พุทโธ พุทโธ พุทโธ ธรรมมันได้ ชำนาญในวสี ถ้าชำนาญในวสีสมาธิมันอยู่กับเราจิตมันตั้งมั่น นี่ไงเข้าบ้านของเรา เข้าบ้านแล้วเราเข้าบ้านของเรา แล้วเราจะหาแสงสว่าง หาความอบอุ่น หาคุณงามความดีของเราล่ะ

ถ้าเป็นสมาธิแล้ว จิตใจที่เป็นสมาธิแล้ว คนเรามันทุกข์มันยาก มันตะเกียกตะกายมามันทุกข์มันยากขนาดไหน มันได้ที่พักที่ผ่อน ที่อาศัยของมันมันซาบซึ้งนัก คนไม่เคยทุกข์ไม่เคยยากมันก็ไม่เห็นคุณค่าของทรัพย์สมบัติ คนที่มันทุกข์มันยาก เวลามันแสวงหาทรัพย์สมบัตินั้นมามันจะประหยัดมัธยัสถ์ มันจะรู้จักดูแลรักษา เพราะทรัพย์สมบัตินั้นมันจะดำรงชีวิตนี้ไป

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจที่มันเศร้ามันหมอง จิตใจที่มันทุกข์มันยาก มันลำบากลำบนของมันมา มันทุกข์ยากมาก ทุกข์จนเป็นความชินชา ทุกข์จนฟ้าปิด จนมืดไม่มีทางออก ทุกข์อยู่อย่างนั้นแหละ แล้วเวลาจะพูดปฏิสัมพันธ์ต่อกันก็บอกเลย แสงสว่างอย่างนั้น ความรู้อย่างนั้น ธรรมะสัจจะเป็นอย่างนั้น พูดไปโดยเลื่อนลอย เพราะพูดไปโดยเลื่อนลอย มันไม่มีที่มาที่ไป มันไม่มีเหตุมีผล ธรรมนั้นเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กึ่งพุทธกาลสัจธรรมนี้อยู่ ๕,๐๐๐ ปี

เราศึกษามาปริยัติเข้มแข็ง เขาว่าการปฏิบัติจะเข้มข้นขึ้น การปฏิบัติจะเข้มข้นขึ้น แล้วปริยัติเข้มแข็งแล้วไปกอดมันไว้ไง ไปกอดมันไว้เป็นของเราๆ เวลาบอกในภาคปฏิบัติมันก็บอกว่าค้ำถ่อเขาเลย ค้ำถ่อเอา เพราะค้ำถ่อคือมันไม่มีถนนหนทาง มันไม่มีความเป็นไป ถ้ามันค้ำถ่อเอามันก็พูดค้ำถ่อเอา เขาก็เชื่อกันในความเป็นจริง เพราะ เพราะเขาอ้างอิง เขาอ้างอิงว่าสิ่งนี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาอ้างอิงสิ่งนี้เป็นคุณธรรมของครูบาอาจารย์ของเรา เขาอ้างอิงกันไป ทีนี้พอมันอ้างอิง ชาวพุทธด้วยกันก็เชื่อ เชื่อเพราะมันเทียบเคียงเอาไง

นี่ไงกาลามสูตรไม่ให้เชื่อๆ ไง แต่ถ้าเราจะปฏิบัติของเรา เราจะเอาความจริงของเรา เพราะเรามีครูบาอาจารย์อยู่แล้ว แล้วเราทำความจริงของเรา เรากำหนดพุทโธของเรา เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเราให้มันมีความสงบระงับเข้ามา มันรู้เอง ทุกข์ยากแสนเข็ญมันรู้ของมัน เวลามันพักขึ้นมาทำไมมันจะไม่รู้ ถ้าพักเสร็จแล้ว ถ้าจิตใจอ่อนด้อย นิพพาน เวลาเข้าบ้านของเราเจอบ้านแล้ว เจอบ้านแล้วไม่ไปไหนแล้ว เราจะเกาะบ้านเราอยู่

ความเป็นจริงเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ โดยพลังงานของมันคือธาตุรู้ ธาตุรู้มันต้องส่งออกโดยธรรมชาติของมัน เวลาเรากลับไปพักสู่ธาตุรู้นั้น ไปพักอยู่ภวาสวะนั้น ไปพักอยู่ภพนั้น เป็นสัมมาสมาธิที่มันตั้งมั่น ธรรมดามันก็ต้องคลายตัวออกมา ไม่มีทางที่จะอยู่อย่างนั้นได้ เวลาเราเข้าไปอยู่ตรงนั้นด้วยความทุกข์ความยากแสนเข็ญที่เราพยายามทำของเราขึ้นไป พอไปถึงสู่จุดนั้น นี้คือนิพพาน เราได้ทำงานมาประสบความสำเร็จแล้ว เราทำมาเราอาบเหงื่อต่างน้ำทุกข์ยากมาขนาดนี้ บัดนี้จิตใจเราได้สงบระงับ บัดนี้จิตใจเราได้ปล่อยวาง บัดนี้คือนิพพาน

เวลาจิตใจคนที่อ่อนแอ จิตใจของคนที่อำนาจวาสนาเท่านี้ แต่ถ้าผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์ของเรา ท่านได้สร้างสมบุญญาธิการมา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านได้สร้างมาขนาดนั้น ใครจะยกย่องสรรเสริญ ใครจะเชิดชูอย่างใดท่านไม่เชื่อทั้งนั้นแหละ เพราะท่านเอาความจริงอันนี้ เวลาเราพยายามของเรา พยายามทำความสงบของใจของเราเข้ามา เวลาจิตมันเข้าไปสู่ความสงบระงับนั้น มันเข้าไปสู่ธาตุรู้ พอเข้าไปสู่ธาตุรู้มันเวิ้งว้าง มันมีความร่มเย็นเป็นสุข มันอิ่มพอในตัวของมัน มันอิ่มพอเพราะอะไรล่ะ มันอิ่มพอเพราะพุทธานุสติ มันอิ่มพอเพราะมันมีคำบริกรรม

สิ่งที่มันบริกรรมจนมันอิ่มเต็มของมันขึ้นมา โดยสัจจะความเป็นจริงมันก็เข้าไปสู่ธาตุรู้นั้น เพราะมันปล่อยวาง มันคลายตัวออกสิ่งที่มันเสวย มันคลายตัวออกธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ที่มันรับรู้นั้น มันเข้าไปสู่สัจจะ เข้าไปสู่ความจริง สัจธรรมที่มันมีอยู่ ทีนี้มันเข้าไปสงบระงับ แต่เพราะความอ่อนด้อย เพราะอำนาจวาสนาแค่นี้ก็บอกว่านี่คือนิพพาน แล้วนิพพานธรรมดาธาตุรู้มันต้องส่งออกเป็นธรรมดา พอเวลามันส่งออกมามันก็ส่งออกมาสู่ขันธ์ ๕ มันส่งออกมามันเสวยไง อายตนะมันกระทบมันก็ส่งออกมาเป็นธรรมดา

พอมันส่งออกเป็นธรรมดา อ้าว นิพพานทำไมมันไหลออกมาล่ะ นิพพานทำไมมันไปกอบโกยเอาแต่ความทุกข์มาอีกแล้ว นิพพานไปไหน แล้วจะเริ่มต้นอย่างไรใหม่ เริ่มต้นเมื่อก่อนเราเคยทำได้มันก็จินตนาการตัณหาซ้อนตัณหา แต่เดิมเรายังไม่ได้สัมผัส เรายังไม่มีสิ่งใด สิ่งที่มันเป็นมันเป็นประโยชน์กับเรา เราก็ยังเชื่อมั่น ธรรมจากหน้าต่างนั้น มีแสงสว่าง มีความเชื่อ มีความมั่นคงนั้น เราก็อาศัยสิ่งนั้นกำหนดพุทโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิเข้าไปถึงความสงบอันนั้น

เพราะเรายึดมั่นสิ่งนั้น แต่พอเราเข้าไปสัมผัส เราไปถึงธาตุรู้ของเรา เราเข้าไปสู่สัมมาสมาธิของเรา เราไปรับรู้สิ่งนั้นเอง เป้าหมายมันก็เอาสู่ธาตุรู้นั้น จะเอานั้นให้ได้ มันเคยสงบมันต้องทำให้ได้ มันจะเป็นความจริง ตัณหาซ้อนตัณหา จนกว่าเป็นความจริงว่า อ๋อเราเคยผิดพลาดมามากแล้ว ทำอย่างไรก็ล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นความจริงเสียที ก็วางสิ่งนี้แล้วกลับไปพุทโธไปสู่พุทธานุสติไปสู่เหตุ ไปสู่เหตุ

มันต้องมีเหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ พอมันกลับไปสู่พุทโธ กลับไปสู่ปัญญาอบรมสมาธิ เพราะคำบริกรรมจิตมันก็เกาะอยู่ที่นั่น เกาะอยู่ที่นั่นมันละเอียดเข้าไปๆ มันก็เข้าไปสู่ธาตุรู้ ไปสู่สัมมาสมาธิ ถ้ามันทำเป็นชำนาญในวสี ชำนาญในวสี ชำนาญในการเข้าออก การเข้าออกอย่างนี้มันก็เข้าสู่สมาธิ เข้าสู่บ้านของเราเท่านั้นแหละ ถ้าเข้าสู่บ้านแล้วเรารักษาของเราด้วยความชำนาญ แต่ด้วยความชำนาญ ชำนาญต้องทำด้วยอำนาจวาสนา ด้วยคนที่มีสติปัญญานะ แต่คนไม่มีสติปัญญามันจับต้นชนปลายไม่ถูก เวลามันส้มหล่นมันเป็นมาเอง

เวลาส้มหล่นมันเป็นมาเอง ดูสิ ดาวตก ดาวตกใส่เท้า แล้วทำอย่างไรจะให้มันเจออีกล่ะ อู๋ย หาทางไปไม่เป็น เพราะมีครู มีอาจารย์ มีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น มีความศรัทธา มีความเชื่อ จากที่เป็นหลักชัยของเรา ท่านสอนไว้ ท่านบอกไว้ ท่านวางแนวทางไว้ เราก็พยายามทำของเราขึ้นไป ทำอยู่อย่างนั้นแหละ พอสิ่งที่ว่าตัณหาซ้อนตัณหา เคยได้ เคยได้เคยเป็นมันก็วาง แล้วกลับไปที่พุทโธ กลับไปที่สติ กลับไปที่ปัญญาอบรมสมาธิ มันเข้าสู่ความสงบนั้น ถ้าเข้าสู่ความสงบนั้น รักษาสิ่งนี้

สิ่งนี้ไม่ใช่นิพพาน สิ่งนี้เป็นสัมมาสมาธิ แล้วรำพึงไปให้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันจะมีถนนหนทาง มีตรอก มีซอก มีซอย มีการดำเนินไป เห็นกายเห็นอย่างไร ถ้าเห็นกายมันล้มลุกคลุกคลาน เห็นไม่ได้ เหมือนกับเราหาบน้ำมา เราแสวงหาน้ำมา เราได้น้ำมาภาชนะหนึ่ง เราเทินไว้มันไปไหนไม่ได้ น้ำเต็มอยู่ ขยับไม่ได้มันจะกระฉอก มันจะหก น้ำมันจะไปไหนล่ะ

เป็นสัมมาสมาธิ พอสัมมาสมาธิแล้วอยากจะน้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นแล้วมันทำอย่างไร มันจะกระฉอก มันจะกระฉอกไปจากภาชนะนั้น แล้วทำอย่างไร ล้มลุกคลุกคลานอีก แต่ถ้าคนที่เขามีความชำนาญของเขานะ น้ำก็หามา หามาเพื่อดื่ม เพื่อกิน เพื่อใช้ เพื่อสอย หามาแล้วมันต้องใช้ต้องสอยไป ถ้าใช้สอยขึ้นมามันก็สะอาดบริสุทธิ์ในร่างกาย เราทำความสะอาดสิ่งใดนั่นก็สะอาด เอามาทำเป็นอาหาร น้ำนั่นก็ได้เป็นอาหาร เอามาดื่มเราก็ได้ดื่มน้ำนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ได้สัมมาสมาธิแล้วเรามีความชำนาญ เราน้อมไปเห็นกาย ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ถ้ามันใช้ประโยชน์ขึ้นมา แล้วมันแยกแยะขึ้นมา มันมีทางไป มันมีถนนหนทางของมัน มันมีทางไปของมัน ไม่ทำสมาธิ ไม่ทำความสงบของใจเข้ามา มันก็บอกว่าแสงจากหน้าต่าง แสงธรรมจากหน้าต่างนั้นเป็นของครูบาอาจารย์ เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันคุ้มครองดูแลเรามา

เราเป็นชาวพุทธเราได้มีคุณธรรมอย่างนี้มา มันก็เป็นความจริงมาแล้ว มันค้ำถ่อเอาหมดเลย ค้ำถ่อคือมันโดดข้าม มันข้ามสิ่งที่เป็นความจริงไป ถ้ามันข้ามสิ่งที่เป็นความจริงไปมันจะเอาอะไรมาเป็นความจริงในใจดวงนี้ล่ะ แต่ที่ครูบาอาจารย์ท่านทำของท่านเป็นความจริงนั่นเป็นของท่าน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของเราก็เป็นของเรา

ถ้าของเรา เราก็พยายามทำของเราขึ้นมาให้มันสงบระงับเข้ามา สงบระงับเข้ามา ถ้าสงบระงับเข้ามามันเป็นความจริงของเรา เรามีบ้านมีเรือน มีบ้านมีเรือนขึ้นมา เราเข้าบ้านเข้าเรือนเราถูกต้อง เราเข้าสู่ใจเราถูกต้อง ใจของเราที่มันทุกข์มันยาก มันอาบเหงื่อต่างน้ำ มันทุกข์มันยากขึ้นมามันทุกข์ยากกับโลกเขา โลกเขาเป็นวิชาชีพ เป็นสิ่งที่หามาดำรงชีวิต สิ่งนี้มันก็เป็นหน้าที่การงานของเรา เราก็ทำ แต่ทำเสร็จแล้วเรามีสติมีปัญญา

เราเป็นชาวพุทธใช่ไหม ชาวพุทธเกิดมาถ้ามีอำนาจวาสนาไม่เหยียบแผ่นดินผิดเราต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ค้นคว้าหาหัวใจของเราให้เจอ ถ้าค้นคว้าหาหัวใจเจอ ดูสิ ถ้าค้นคว้าหาหัวใจเจอ แล้วใจของเราเราน้อมไปให้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ถ้าเห็นตามความเป็นจริง น้ำใจๆ สิ่งที่เราเห็นน้ำที่มันมีความร่มเย็นเป็นสุข เราน้อมไปเพื่อเป็นประโยชน์ ไม่ใช่ได้น้ำมาเราก็กักน้ำไว้เลย น้ำนี่ของฉัน กักเก็บไว้ไม่ใช้ประโยชน์อะไร หิวกระหายก็ไม่กิน หิวกระหายก็ไม่ดื่ม

น้ำกับเราหามามันก็ไม่รู้จักดื่มกินนะ น้ำเอามาแล้วจะด้วยอาบเหงื่อต่างน้ำมา ร่างกายนี้มันทุกข์มันยาก แดดมันร้อนไปหมด เหงื่อไหลไคลย้อยมันก็ไม่เอามาชำระล้างร่างกายมัน มันบอกว่าเก็บน้ำไว้เพราะหามาทุกข์มายาก มันก็ไม่ยอมใช้ของมัน ทำอะไรมันไม่ทำหมดเลยเพราะมันแสวงหา นี่คือนิพพานไง มันสงบระงับ มันเป็นนิพพานไง แต่คนที่เขาเป็น น้ำนั้นมาก็หามาใช้มาสอย

ถ้ามันเห็นกาย เห็นกายก็พิจารณากายไป ถ้าเห็นจิต เห็นธรรมเราก็พิจารณาของเรา แยกแยะของเราขึ้นมา ถ้าแยกแยะขึ้นมา การแยกแยะนั้น ในบ้านของเรา ในบ้านของเรานะ ถ้าบ้านที่สมบูรณ์มันจะมีครัว มีห้องนอน มีห้องน้ำ มีทุกๆ อย่างในบ้านนั้น นี่ก็เหมือนกัน ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบมันมีการทำของมัน ธรรมจักรมันจะหมุน บ้านเราสมบูรณ์ บ้านของเรา เรามีบ้านของเรา เราไม่มีห้องน้ำห้องท่า เราจะไปขับไปถ่ายที่ไหน เราจะไปขับไปถ่ายที่ไหนก็เราไม่มี

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจถ้ามันทำความสงบของใจเข้ามา มันไม่สำรอก มันไม่คายกิเลสออกไป มันไม่มีอะไรคายออกไป แล้วมันจะอยู่อาศัยได้จริงได้อย่างไรล่ะ ถ้ามันอยู่อาศัยไม่ได้ ไปอยู่ในบ้านก็ไปทุกข์อยู่นั่นแหละ ไปอยู่นั่นก็ไปอั้นตู้อยู่นั่นแหละ ไปอยู่ในบ้านแล้วอึดอัดขัดข้องไปอีก อยู่ข้างนอกก็ทุกข์ก็ยาก อยู่ข้างนอก อยู่ข้างนอก ถ้าจิตใจดวงใดไม่มีสัมมาสมาธิ ไม่มีที่อยู่ที่อาศัย ถ้าใครทำสมาธิขึ้นมาได้ก็มีบ้านมีเรือนหลังหนึ่งไว้ให้หลบแดดหลบร้อนให้ได้ที่พักอาศัย

อยู่ข้างนอกก็ทุกข์แสนทุกข์แสนยาก กระทบสิ่งใดมีแต่ความทุกข์ความยาก ถ้ามีความเชื่อมั่น มีศรัทธาความเชื่อ มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำเป็นแนวทางของเรา เราก็พยายามทำของเรา ทำของเราจนเราหาบ้านเราเจอ เราเข้าบ้านของเราได้ พอเข้าบ้านได้ อยู่ข้างนอกก็อึดอัดขัดข้อง ก็ทุกข์ก็ยาก พอเข้าบ้านเข้าไปใช้ปัญญาไม่ถูกต้อง ทำให้เป็นธรรมจักรขึ้นมา ให้เป็นธรรมโอสถขึ้นมา ให้เพื่อสำรอกคายกิเลสออกมาก็ทำไม่ได้อีก อยู่ข้างนอกก็ทุกข์ เข้าสู่ใจของตัวเองก็ทุกข์ แล้วมันจะไปทางไหนล่ะ มันจะไปไหนล่ะ มันจะไปอย่างไร

มันจะไป มีครูมีอาจารย์ มีตรอก มีซอก มีซอย ในบ้านของเราก็มีบันได มีห้องมีหับ จะเข้าห้องนั้น ออกห้องนี้ จะเข้าอย่างไร ห้องนี้ลั่นกุญแจไว้เข้าไม่ได้ ห้องนี้ก็เก็บไว้ถนอมรักษาไว้ห้ามคนอื่นใช้ มีห้องน้ำมีห้องท่า มันมีอยู่แล้ว มรรคมันมีอยู่แล้ว มรรคมันมีอยู่แล้วเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าธรรมจักร

ธรรมจักรมันเกิดมาจากไหนล่ะ ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสำรอกคายกิเลสออกมันก็มาทำเป็นจริงขึ้นมา ตบะธรรม สัจธรรม อริยสัจ สัจจะความจริงมันมีอยู่ แต่เรารื้อค้นไม่ได้ เราทำของเราขึ้นมาไม่ได้ มันจะใช้ค้ำถ่อเอาไง จะเอาโดยรวบรัดไง ถ้าคนเขาทำอย่างนั้น ไอ้พวกนั้นมันทุกข์มันยาก เราไม่ต้องทำอย่างนั้นหรอก ถ้าไม่ทำอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ ไม่ทำอย่างนั้นมันก็ไม่มีขึ้นมา แต่เขาทำอย่างนั้นมันทุกข์มันยาก ทุกข์ยากมันเป็นความจริง

ปฏิบัติเป็นอย่างนี้ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิบัติความจริง สัจธรรมมันเป็นแบบนี้ ขิปปาภิญญาถ้ามันง่ายมันก็ง่ายด้วยบุญกุศลของเขา ถ้าง่ายขึ้นมามันก็ต้องมรรค ๘ เหมือนกัน มันไม่มีหรอกง่ายโดยที่ค้ำถ่อเอา ง่ายโดยที่ว่าให้เขาทำเราไม่ทำ เราทำอย่างอื่นก็ได้ ไอ้นี่มันเป็นเรื่องของกิเลสบิดเบือน กิเลสมันครอบใจเรา เขาทำอย่างนั้นมันเป็นเรื่องทุกข์เรื่องยาก ทำไมเราต้องทำแบบนั้น คนที่ปฏิบัติไม่เป็นพูดอย่างนี้ทั้งนั้น ทำไมต้องปฏิบัติให้มันทุกข์มันยาก ทำไมต้องเป็นอัตตกิลมถานุโยค ทำไมไม่อยู่เฉยๆ แล้วมันเป็นไปเอง ทำไมมันอยู่กับที่ ศึกษาแล้วก็รู้แล้ว รู้แล้วมันก็ต้องเป็นสิ ทำไมต้องทำลำบาก

ปริยัติ รู้แล้วกอดไว้แล้วได้อะไร แสงสว่างนั้นมันเกิดจากรัตนตรัย เกิดจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึกเปล่งแสงประกายออกมา แต่ของเรามันไม่มี ของเรามันเป็นจริงตรงไหนล่ะ นึกเอา จินตนาการเอา เพราะ เพราะทฤษฎีมี ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามี เพราะเราศึกษา เราศึกษา เราเข้าใจในปริยัติ แล้วเราบอกเราทำอะไรก็ได้ให้มันเป็นแบบนั้น

เราทำสิ่งใดก็ได้ให้เป็นแบบนั้น ค้ำถ่อเอา พุ่งแหลมเอา จะโรยตัวเอามา จะเข้าหน้าต่างนั้นให้ได้ ติดกำแพง ติดอวิชชา เพราะ เพราะอวิชชาความไม่รู้มันฉ้อฉล มันฉ้อฉลใจเรา มันฉ้อฉลว่าทำอย่างนั้นได้ แต่คนที่เขาทำความเป็นจริง ดูสิ กรรมฐานเรา ครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านปฏิบัติมาด้วยความจริงของท่าน ที่ท่านทุกข์ยากอย่างนั้นมา ถ้าบอกว่าก็เรื่องของท่าน ท่านทำก็ทำของท่านไป ท่านทำของท่าน ท่านได้ความจริงของท่าน ท่านมีคุณธรรมในใจของท่าน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข มันร่มเย็น บ้านหลังนั้นเรืองแสง สว่างไสวเหมือนดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ให้พลังงานในจักรวาลนี้เลย ครอบงำไปทุกบ้านทุกเรือนเลย แล้วมันเป็นความจริง แล้วของเราเราก็จินตนาการว่าดวงอาทิตย์ซ้อนกันไง เราก็จะมีอีกดวงหนึ่งไง ดวงอาทิตย์มี ๒ ดวง ๓ ดวงไง มันจะเผาโลกนี้ให้บรรลัยไปเลยไง มันเป็นดวงอาทิตย์ของอวิชชา ดวงอาทิตย์ของกิเลส มันไม่มีอยู่จริง ถ้ามันมีอยู่จริงเราทำของเราขึ้นมาสิ

ด้วยกิเลสมันฉ้อฉล มันฉ้อฉล มันทำลายเรา แต่ด้วยทิฐิมานะ ด้วยอวิชชากลับภูมิใจ กลับภูมิใจว่าพวกเราทำง่าย พวกเราประพฤติปฏิบัติด้วยความเป็นจริง พวกที่เขาปฏิบัติที่ทุกข์ที่ยากนั้นน่ะ พวกนั้นพวกที่ไม่มีอำนาจวาสนา พวกนั้นเป็นพระกรรมฐาน พระกรรมฐานต้องมาพุทโธ พุทโธ พุทโธมันเสียเวลา เวลาใช้ปัญญาก็ใช้ปัญญาโดยไม่ศึกษา ใช้ปัญญาโดยไม่ศึกษาจากพระไตรปิฎก ไม่ศึกษาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มองข้ามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป ไปเชื่อสาวก สาวกะ ไปเชื่อตามๆ กันมา ไม่ได้เชื่อตามความเป็นจริง

นี่ไงอวิชชา ไอ้กำแพงมันไปกั้นไว้ แล้วบอกว่าเพราะเราเป็นชาวพุทธแท้ เราศึกษามาจากพระไตรปิฎก เราศึกษามาจากต้นขั้วเลย แล้วก็รัตนตรัย เรืองแสงไง แล้วเราล่ะจะพุ่งเข้าหน้าต่างนั้น จะทำให้เข้าหน้าต่างนั้น โดยการกีฬา โดยเล่นกีฬาเตะเข้าหน้าต่างนั้นเลย มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันไม่มีอยู่จริงในความเป็นจริงไง แต่มันมีอยู่ในความจำของเขา มันอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเขาที่เขาจินตนาการกันขึ้นมา แล้วบอกต่อๆ กันมา แล้วก็เชื่อว่าไม่ต้องทุกข์ไม่ต้องยาก

ไม่ต้องไปทำให้ลำบากขนาดนั้น ทำประสาเรานี่แหละ มันเป็นกระแสของกิเลสที่มันสร้างขึ้น แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะมันมีถนนหนทาง มันมีเข้าตามตรอก ออกตามประตู ถ้าเข้าตามตรอก ออกตามประตูมันเป็นอตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ มันเป็นสัจจะ สัจจะเพราะมันเป็นสันทิฏฐิโกกับใจดวงนั้น เราทุกข์ไหม อยู่ข้างนอกใจเป็นเจตนา เป็นเจตสิกต่างๆ ก็ทุกข์ พยายามกำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ตั้งแต่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ถึงอัปปนาสมาธิมันมีความสุขนะ มันสักแต่ว่า สงบระงับ

มันเป็นความมหัศจรรย์มาก สักแต่ว่ารู้ เราเกิดมามีกายกับใจ หัวใจมันสงบระงับเข้าไปสู่ฐีติจิต มันปล่อยวางร่างกายนี้ มันเวิ้งว้าง มันมหัศจรรย์มาก แล้วทำอย่างไรต่อไปล่ะ ออกมาถ้ามันคลายตัวออกมา ถ้าเราใช้ปัญญาไม่เป็นมันก็ทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะว่ามันได้สมบัติมาแล้วทำหลุดมือไป มันได้ความสงบระงับมา แต่มันจะทรงไว้อย่างไร เราจะหาอย่างนี้ไว้อย่างไร

อยู่ข้างนอกก็ทุกข์ อยู่ข้างในก็ทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร คนทุกข์คนจนมันก็ทุกข์ประสาคนทุกข์คนจน ไอ้คนที่มั่งมีศรีสุขก็ทุกข์แบบคนมั่งมีศรีสุขนั่นล่ะ แต่ถ้ามันมีครูบาอาจารย์ของเรา เราใช้สติปัญญาออกใช้วิปัสสนา ออกให้รู้จริงเห็นจริงในสัจธรรมนั้นในสติปัฏฐาน ๔ ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา ในบ้านในเรือนของเราจะมีห้องมีหอ เราจะติดแสงโซล่าเซลล์ เราจะมีสิ่งเก็บพลังงานนั้นไว้ แล้วมันจะมีแสงสว่างในนั้น มีพลังงานใช้ทุกๆ อย่างเลย เวลามรรคมันเคลื่อน ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ธรรมจักรมันเคลื่อนไป สัจจะมันมีอยู่จริง มีอยู่จริงแต่เราทำจริงหรือเปล่าล่ะ

ถ้ามันทำจริงขึ้นมา มันจริงขึ้นมามันก็มีไง มีตรอก มีซอก มีซอย มีประตูเข้าทางประตู เข้าตามตรอก ออกตามประตู เข้าไปแล้วเราพัฒนาใจของเราด้วยมรรค ด้วยการกระทำของเรา บ้านเรามันจะสะอาดบริสุทธิ์ มันจะมีแสงสว่างในบ้านของเรา เราไม่ต้องอาศัยแสงสว่างจากที่ไหน ด้วยความศรัทธานะ ศรัทธาความเชื่อในพุทธศาสนา แก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราก็ศรัทธา เราก็มีความเชื่อ เราก็ขวนขวาย ก็มีการกระทำ ทำเราขึ้นมาด้วยความจริงขึ้นมา

พอมันเป็นความจริงขึ้นมา ในบ้านในเรือนของเราคือในใจเรานั่นล่ะ ในบ้านในเรือนคือในหัวใจ แต่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมีครูบาอาจารย์ของเรา ในใจของท่านเป็นธรรมธาตุ มันเรืองแสง มันมีความจริง เราก็เชื่ออันนั้นไง เราเชื่ออันนั้น เราอาศัยสิ่งนั้นมันเป็นที่พึ่งอาศัย แล้วถ้าเราอาศัยแต่สิ่งนั้น อาศัยแต่แสงธรรมจากหน้าต่างนั้น หน้าต่างธรรมๆ ของครูบาอาจารย์ หน้าต่างธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราก็คาดหมาย เราพยายามจะเข้าทางตรง เข้าทางตรง

ความจริงความตรงมันไม่มี จะเข้าทางตรงหน้าต่างนั้นเข้าอย่างไร เพราะมันมีอวิชชา มีความไม่รู้เป็นกำแพงขวางกั้นอยู่ แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติมา เริ่มต้นกลับมาตั้งแต่มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ตั้งแต่เรากลับมาทำของเรา ตั้งแต่บริกรรมพุทโธ พอจิตมันสงบเราก็มีข้อวัตร มีมรรคโค มีทาง มีทางให้จิตใจก้าวเดิน มีทางที่มันจะเป็นจริงขึ้นมา ไม่ใช่จินตนาการขึ้นมาว่าไม่ต้องทำแบบนั้น ทำไมต้องทุกข์ต้องยากแบบนั้น สู้มาทำแบบเราดีกว่า แบบเราแบบเราแบบกิเลส แบบเราแบบที่มันคิดขึ้นมาเอง แบบเราที่ไม่มีเหตุมีผล แบบเราที่เลื่อนลอย แบบเราที่ไม่มีสิ่งใดรองรับ แต่ถ้ามีสิ่งที่รองรับ วิมุตติสุข วิมุตติสุขได้แต่ใดมา

เวลามันทุกข์มันยากไม่ต้องไปบอกว่าได้แต่ใดมา มันทุกข์มันยากเพราะอะไร เพราะมีภวาสวะ มีภพ ที่ไหนมีจุดมีต่อม ที่ไหนมีภพ มันเศร้าหมอง มันผ่องใส มันเป็นของมันโดยธรรมชาติของมัน แล้วพอมันส่งออก เวลาส่งออกจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เวลามันส่งออก เวลาส่งออกมันส่งออก ส่งออกมันคลายตัวออก ทุกข์เข้าไปใหญ่เลย มันเสวยไปแล้ว ออกมาธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง ปัจจยาการของมัน มันส่งออกแน่นอน เข้าไปสู่ตัวมันเองมันก็ทุกข์อันละเอียด

เวลามันส่งออกมามันก็ทุกข์หยาบ ทุกข์หาบทุกข์หาม ก็ทุกข์ทั้งนั้นแหละ แล้วสัจจะความจริงล่ะ สัจจะความจริง สัจจะความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจจะความจริงในใจของครูบาอาจารย์เรา แล้วท่านสั่ง ท่านสอน ท่านบอกแนวทางเรา แล้วเราปฏิบัติเราเอาความจริงแบบนี้ มันจะเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกในใจของเรา ถ้าเราทำจริงของเราได้แล้วเราจะกราบ หลวงตาเวลาท่านไปทำลายจุดและต่อมของท่านที่วัดดอยธรรมเจดีย์ กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า

กราบใครน่ะ กราบสัจธรรม สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้ง แล้วเวลาท่านรู้แจ้งธรรมะเป็นอย่างนี้หรือ ความเรืองแสงในใจมันเป็นอย่างนี้หรือ แสวงหามานานหาสัจธรรมๆ สัจธรรมมันอยู่ไหน สัจธรรมมันอยู่ไหน แสวงหามาตลอด บัดนี้มันสว่างโพลงในกลางหัวอกนี้ สว่างโพลงในใจ ไม่ใช่หน้าต่างธรรมของใคร เป็นบ้านที่เรืองแสง เป็นสิ่งที่มันเป็นความจริงในใจ เพราะมีความจริงในใจอย่างนี้มันถึงมีความสว่างไสวเป็นหน้าต่าง เป็นสิ่งที่แสงนั้นมันส่งออกมาให้พวกเราได้พึ่งอาศัย ให้พวกเราได้เห็นแนวทาง ให้พวกเราหวังพึ่งสิ่งนี้เพื่อเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง

>